จังหวัดนนทบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นครั้งล่าสุดโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครนายก พุทธศักราช 2489 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489
ปัจจุบัน จังหวัดนนทบุรีจัดเป็นพื้นที่ในเขตปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร มีขนาดเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 75 ของประเทศ (รวมกรุงเทพมหานคร) แต่มีประชากรหนาแน่นที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากกรุงเทพมหานคร
1. ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี (หลังเก่า)
ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี (หลังเก่า) ตั้งอยู่ บริเวณท่าน้ำนนทบุรี ใกล้กับหอนาฬิกา เป็นอาคารไม้สักเก่าแก่ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทาง ประวัติศาสตร์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ลักษณะอาคาร สร้างด้วยไม้สัก เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ที่ประยุกต์ให้เข้ากับ ภูมิอากาศเขตร้อน หันหน้าออกสู่แม่น้ำ บนเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 51 ตารางวา เป็นอาคาร 2 ชั้นก่ออิฐถือปูน มี7 หลัง วางผังเป็นรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้า ล้อมรอบลานกว้าง เชื่อมต่อด้วยระเบียงทางเดินทำด้วยไม้ที่ยื่นออกมารอบอาคารด้วยคุณค่าทางสถาปัตยกรรม และความสำคัญทางประวัติศาสตร์ กรมศิลปากรจึงขึ้นทะเบียนอาคารหลังนี้เป็นโบราณสถานในปี พ.ศ. 2524 เดิมทีจุดประสงค์ให้เป็น โรงเรียนกฎหมาย แต่เนื่องจากยังไม่มีบุคลากร จึงได้ใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนราชวิทยาลัย ซึ่งได้เปิดสอนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2454 -2469 และได้ยุบโรงเรียนราชวิทยาลัย โดยโอนย้ายนักเรียนไปรวมกับโรงเรียมหาดเล็กกรุงเทพ ต่อมาได้รับพระราชทานนามใหม่จาก รัชกาลที่ 7 ว่า “วชิราวุธวิทยาลัย” อาคารหลังนี้จึงได้ใช้เป็นศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ระหว่างปี พ.ศ.2471 – 2535 จากนั้นใช้เป็น ที่ตั้งวิทยาลัยมหาดไทย จนถึงปี พ.ศ.2551 นับจากปี พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป อาคารหลังนี้ได้รับการอนุรักษ์ และปรับปรุงให้เป็นที่ตั้ง พิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี อันเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวความเป็นมาของจังหวัดนนทบุรีอย่างครบถ้วน เพื่อสร้างความรู้ ความภาคภูมิใจ และความรักในท้องถิ่นให้แก่ชาวนนทบุรี โดยพิพิธภัณฑ์นี้เป็นแหล่งรวบรวม เก็บรักษา และจัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตลอด จนมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าของชาวนนทบุรี
ชมข้อมูลแผนที่และอ่านริวิวเพิ่มเติมได้เลย >>> https://jinnyz.com/place/376
2. เกาะเกร็ด
เกาะกลางน้ำเจ้าพระยา แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในจังหวัดนนทบุรี รู้จักกันดีในฐานะแหล่งชุมชนคนมอญที่มีชื่อเสียง ในเรื่องของเครื่องปั้นดินเผา และประเพณีวัฒนธรรมแบบพื้นบ้านดั้งเดิม ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ได้เป็นอย่างดี เกาะเกร็ดเป็นสถานที่ ขึ้นชื่อของชุมชนกลุ่มชาวมอญและมีเครื่องปั้นดินเผาชั้นดี เป็นสินค้าประจำของเกาะเกร็ดโดยมีพระเจดีย์มุเตาของวัดปรมัยยิกาวาส เป็น สัญลักษณ์ประจำฝั่งท่าน้ำของเกาะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวบนเกาะเกร็ด ก็จะมีทั้งมาเดินเที่ยว ช้อปปิ้ง หาของอร่อยๆ กิน บ้างก็เลือกนั่งเรือชมรอบเกาะ สินค้าที่สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์เด่นของ เกาะเกร็ดคือเครื่องปั้นดินเผา โอ่ง กระถางเซรามิกรูปร่าง ต่างๆ ในราคาย่อมเยา มีให้เลือกซื้อเลือกหมากมาย เกาะเกร็ดจะเปิด เกร็ด ในวันเสาร์ – อาทิตย์ รวมถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลาประมาณ 9.00 - 17.30 น.
ชมข้อมูลแผนที่และอ่านริวิวเพิ่มเติมได้เลย >>> https://jinnyz.com/place/377
3. วัดสังฆทาน
ตั้งอยู่ในจังหวัดนนทบุรีนับเป็นวัดที่ร่มรื่น เหมาะสำหรับผู้ต้องการแสวงหาความสงบสุขทางจิตใจ เดิมวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง มีเพียงพระพุทธรูปหลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ในศาลาไม้มุงสังกะสี สาเหตุที่ชื่อว่าวัดสังฆทาน เนื่องจากทุกปีชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น มักนิมนต์พระสงฆ์จากวัดข้างเคียงมาที่ศาลาเพื่อถวายสังฆทานเป็นกุศโลบาย ให้ทุกคนมาช่วยกันทำความสะอาดวัดปีละครั้งจากนั้นในปี พ.ศ. 2511 หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ อดีตเจ้าอาวาส ธุดงค์ผ่านมาและเห็นว่ามีบรรยากาศเงียบสงบเหมาะสำหรับการภาวนา แต่ท่านคิดว่าตนเองยังมีบารมีไม่มากพอ จึงเดินทางไปปฏิบัติธรรมต่อที่เขาถ้ำหมี จังหวัดสุพรรณบุรี และถ้ำกะเปาะ จังหวัดชุมพร ประมาณ 6 ปีแล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดสังฆทาน
ชมข้อมูลแผนที่และอ่านริวิวเพิ่มเติมได้เลย >>> https://jinnyz.com/place/378
4. วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร
เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่เลขที่ ๘๖ หมู่ ๓ ถนนท่าน้ำนนท์–วัดโบสถ์ดอนพรหม ตำบลบางศรีเมือง อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี มูลเหตุแห่งการสร้างวัดเริ่มเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่3) เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติในปี พ.ศ. ๒๓๖๗ นั้น พระองค์ทรงสถาปนาสมเด็จพระราชชนนีแห่งพระองค์ขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระศรีสุลาไลยด้วย ต่อมาทรงพระราชดำริว่าบริเวณป้อมปราการ (ชื่อว่าป้อมทับทิม) ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาใต้ตลาดขวัญ เมืองนนทบุรี เป็นนิวาสถานเดิมแห่งพระอัยกา(ตา) พระอัยกี(ยาย) ของพระองค์ และยังเป็นสถานที่ประสูติของสมเด็จพระศรีสุลาไลยพระราชชนนีพันปีหลวง สมควรที่จะสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงสักแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระอัยกา พระอัยกี และสมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวงแห่งพระองค์ ด้วยเหตุนี้โปรดให้พระยาคลัง (ดิศ บุนนาค) ตำแหน่งที่สมุหพระกลาโหมเป็นแม่กองสร้างวัดขึ้นในบริเวณนั้น และโปรดให้สร้างป้อมปราการ ก่ออิฐถือปูน มีใบเสมาเป็นทำนองเดียวกันกับพระบรมมหาราชวังรอบวัดไว้เป็นอนุสรณ์ด้วยพระราชทานนามวัดแห่งนี้ว่า “วัดเฉลิมพระเกียรติ” เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๐ วัดเฉลิมพระเกียรติเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้นเป็นวัดสุดท้ายในรัชกาลก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคต ในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ การสร้างวัดเฉลิมพระเกียรติน่าจะยังไม่แล้วเสร็จในรัชกาลของพระองค์ เพราะเมื่อพระองค์ใกล้จะเสด็จสวรรคต พระองค์ก็ยังตรัสถึงวัดต่างๆ ที่ยังสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ค้างไว้ว่า " ...ทุกวันนี้คิดสละห่วงใหญ่ให้หมด อาลัยอยู่แต่วัด สร้างไว้ใหญ่โตหลายวัด ที่ยังค้างอยู่ก็ดี ถ้าชำรุดทรุดโทรมไปจะไม่มีผู้ช่วยทำนุบำรุง เงินในพระคลัง ที่เหลือจับจ่ายใช้ราชการแผ่นดิน มีอยู่ ๔๐,๐๐๐ ชั่ง ขอสัก ๑,๐๐๐ ชั่งเถิด ถ้าผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดินแล้วให้ช่วยบอกแก่เขาขอเงินรายนี้ให้ช่วยทำนุบำรุงวัดที่ชำรุดและการวัดที่ยังค้างอยู่นั้น เสียให้แล้วด้วย..." เมื่อเป็นเช่นนี้ วัดเฉลิมพระเกียรติที่ยังสร้างค้างอยู่น่าจะเป็นวัดหนึ่งที่พระองค์ทรงห่วงใยด้วย ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า-เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว พระองค์ก็ทรงรับเป็นพระราชภาระในการสร้างวัดเฉลิมพระเกียรติจนเสร็จเรียบร้อย โดยโปรดให้พระยาทิพากรวงศ์ (นำ บุญนาค) เป็นแม่กองการบูรณะจนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๑ วัดเฉลิมพระเกียรติได้รับการคัดเลือกเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างของกรมการศาสนา ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นวัดอุทยานการศึกษากรมการศาสนา ปี พ.ศ. ๒๕๓๘
ชมข้อมูลแผนที่และอ่านริวิวเพิ่มเติมได้เลย >>> https://jinnyz.com/place/379
5. อุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก
ตั้งอยู่ซอยเฉลิมพระเกียรติ 13 ถัดจากวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร มีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ กรมธนารักษ์เป็นผู้จัดสร้างขึ้นด้วยงบประมาณ 900 ล้านบาท เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวโรกาสครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เพื่อเป็นที่พักผ่อนของประชาชน และเป็นศูนย์รวมพันธุ์ไม้น้ำ ไม้ชายน้ำ พืชสวน และสัตว์น้ำชนิดต่างๆ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 05.30 – 18.30 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม อาคารที่เป็นจุดเด่น คือ วิมานสราญนวมินทร์ เป็นพลับพลาโถงเครื่องยอดแหลม ตั้งอยู่กลางสระน้ำ ถัดมาไม่ไกลเป็นเรือนไทยหมู่สำหรับพักผ่อนและบริการ เป็นเรือนไม้สักทั้งหลัง ประเภทเครื่องสับลูกประสัก ระดับชั้นคหบดีแต่โบราณบริเวณริมน้ำ จากท่าเรือรับเสด็จเป็นส่วนของอาคารพลับพลาโถงจัตุรมุขรับเสด็จ เป็นศาลาโล่งหลังคาลดชั้นสี่ทิศ และศาลาบริวารทั้งสามหลังเป็นงานไม้เครื่องลำยองรูปแบบอย่างโบราณ ลวดลายประยุกต์ออกแบบตามฉันทลักษณ์ ใช้ไม้สักแกะลงรักปิดทองคำเปลวร้อยเปอร์เซ็นต์ ประดับกระจกสีให้เหมาะกับลักษณะใช้สอยที่เป็นอาคารประกอบพิธี
ชมข้อมูลแผนที่และอ่านริวิวเพิ่มเติมได้เลย >>> https://jinnyz.com/place/380
6. วัดชลประทานรังสฤษดิ์
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2502 เมื่อหม่อมหลวงชูชาติ กำภู “บิดาแห่งชลกร” อธิบดีกรมชลประทาน ไปเยี่ยมชมวัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) จังหวัดเชียงใหม่ ได้ฟังการแสดงธรรมของพระปัญญานันทภิกขุ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดอุโมงค์ในขณะนั้น และเลื่อมใสวิธีการสอนธรรมะแนวใหม่ของท่าน จากเดิมที่นั่งเทศนาบนธรรมาสน์ ถือใบลาน มาเป็นการยืนพูดปาฐกถาธรรม แบบพูดปากเปล่าต่อสาธารณชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุผลร่วมสมัย ทันต่อเหตุการณ์ เป็นการดึงดูดประชาชนให้หันเข้าหาธรรมะได้เป็นเป็นอย่างมาก กรมชลประทานได้สร้างวัดใหม่ขึ้น ชื่อ “วัดชลประทานรังสฤษดิ์” เมื่อ พ.ศ 2503 ที่ ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพื่อแทนวัดที่ชำรุดทรุดโทรม (วัดเชิงท่า และวัดหน้าโบสถ์) ซึ่งอยู่ในบริเวณที่ดินเวนคืนเพื่อสร้างกรมชลประทาน และได้อาราธนาพระปัญญานันทภิกขุ เป็นเจ้าอาวาสใน พ.ศ. 2503
ชมข้อมูลแผนที่และอ่านริวิวเพิ่มเติมได้เลย >>> https://jinnyz.com/place/381
7. ตลาดน้ำบางคูเวียง (ตลาดน้ำวัดโบสถ์บน)
ตำแหน่งตลาดน้ำตั้งอยู่ระหว่างวัดสองวัดนั้นคือ วัดโบสถ์บน กับ วัดโพธิ์เอน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยทรงเสด็จมาแล้วเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว สร้างความปิติยินดีแก่พ่อค้าแม่ขายและชาวบ้านในละแวกดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นตลาดที่มีขนาดเล็กกว่าตลาดน้ำแห่งอื่น แต่ของที่ขายส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของสวนนำเอาผลไม้ พืชผักจากสวนมาขายเองโดยตรง ทำให้สบายใจได้ว่าได้สินค้าที่ดี มีคุณภาพ สดใหม่อย่างแน่นอน โดยจะมีของขายเยอะมากที่สุดในช่วง 6 โมงถึง 8 โมงเช้าหลังจากนั้นตลาดจะเริ่มวายแต่ก็ยังมีสินค้าและอาหารพื้นบ้านบางอย่างที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันออกมาจำหน่ายอยู่เป็นระยะ นอกจากนี้สำหรับใครที่ชื่นชอบการทำบุญ ที่นี่ยังมีพระสงฆ์ออกบิณฑบาตยามเช้าให้เห็นอยู่และสามารถใส่บาตรได้ตามสะดวก ถือเป็นภาพชีวิตแบบไทยที่คงความคลาสสิกและสวยงามซึ่งนับวันจะหาดูได้ยากแล้ว
ชมข้อมูลแผนที่และอ่านริวิวเพิ่มเติมได้เลย >>> https://jinnyz.com/place/382
8. วัดสวนแก้ว
เป็นสถานที่เผยแพร่ธรรมโดยพระพิศาลธรรมพาที(พระพยอม กัลยาโณ) ซึ่งเป็นพระนักพัฒนา ท่านได้ริเริ่มโครงการต่าง ๆ ของมูลนิธิสวนแก้วเพื่อพัฒนาสังคม และคุณภาพชีวิตของผู้ด้อยโอกาสในสังคมจนประสบความสำเร็จ เช่น โครงการร่มโพธิ์แก้ว โครงการที่พักคนชรา โครงการซุปเปอร์มาร์เก็ตผู้ยากไร้ โครงการสวนแก้วเนอร์สเซอรี่และอีกหลายโครงการ ถ้าหากว่าคุณสนใจในการที่จะบริจาคหรือต้องการที่จะเข้าเยี่ยมชม
ชมข้อมูลแผนที่และอ่านริวิวเพิ่มเติมได้เลย >>> https://jinnyz.com/place/383
9. วัดโชติการาม
สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พุทธศักราช ๒๓๕๗ สันนิษฐานว่าอาจเป็นชาวจีน ๓ คน สร้างขึ้นไว้ จึงได้มีนามว่า “วัดสามจีน” และได้มีเจ้าพระยาโชฎิกราชเศรษฐี ได้มาบูรณะก่อสร้างหลายอย่าง ต่อมาในปี พุทธศักราช ๒๔๘๔ จึงได้เปลี่ยนนามวัดใหม่เป็น วัดโชติการาม ซึ่งตั้งอยู่ เลขที่ ๓๖ หมู่ ๓ ตำบลบางไผ่ ซอย ๑ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี
วิหาร เป็นอาคารทรงโรง ก่ออิฐถือปูน ขนาด ๓ ห้อง มีมุขด้านหน้าและหลัง มีประตูด้านหน้า ๒ บาน ด้านหลัง ๑ บาน ลักษณะภายในวิหาร ฝาผนังทั้ง ๔ ด้าน มีจิตรกรรมตั้งแต่พื้นจรดเพดาน บานประตูด้านหน้าเป็นไม้จำหลักรูปเสี้ยวกาง ด้านหลังเป็นภาพเขียนสี รูปแจกันดอกพุดตาน ใบเทศบนพื้นแดง เพดานเป็นลายดอกไม้บนพื้นแดงแทรกภาพสัตว์ปีก เช่น ค้างคาว นกยูง ซุ้มประตู-หน้าต่างเป็นซุ้ม ๒ ชั้น ลวดลายปูนปั้นประดับกระจก หน้าบันวิหารจำหลักไม้แบบนูนสูงประดับกระจกสี ลวดลายกนกเครือเถา ส่วนภาพจิตรกรรมภายในวิหาร มักจะเป็นภาพพุทธประวัติตอนต่าง ๆ เช่น ตอนมารผจญ ตอนสัตตมหาสถาน ตอนเสด็จไปโปรดพุทธมารดา และเสด็จจากดาวดึงส์ ภาพจิตรกรรมในปัจจุบันลบเลือนไปมาก วัดโชติการามถือเป็นโบราณสถานอันสำคัญ โดยขึ้นทะเบียนที่กรมศิลปากร ณ ปัจจุบันนี้ มีพระเดชพระคุณพระวินัยธรถวิน ถาวโร (ครูบาขาว) ดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดโชติการาม
ชมข้อมูลแผนที่และอ่านริวิวเพิ่มเติมได้เลย >>> https://jinnyz.com/place/384